ของพี่มันประมาณว่าแบบ field of view พี่มันแคบอ่ะ พี่มองเห็นสังคมเท่านี้ก็จะ perceive ว่าเออ ในสังคมแบบนี้ ถ้าจะเก่งมันจะประมาณนี้ ไม้บรรทัดมันยาวประมาณนี้นะที่เขาใช้วัดกัน && ไม่รู้ว่าสังคมจริง ๆ มันกว้างมันใหญ่มาก มันเลยรู้สึกว่าเออทำไม่ได้หรอก (และพี่เชื่อว่าไอ "ทำไม่ได้หรอก" คือจุดที่หลายคนเป็นเกี่ยวกับช่วงนี้เลย เพราะ covid-19 เข้ามา disrupt ให้เราต้องปรับตัวกัน) ต่อๆๆ แต่ในความเป็นจริง field of view มันควรจะใหญ่กว่านี้ แบบพี่เปิดโลกเพราะ instagram / งานdek-d fair นี่แหละ แล้วพอมันใหญ่มาก ๆ พี่เริ่มรู้สึกว่าไม้บรรทัดที่ใช้วัดมันไม่ควรมีเลยอ่ะเพราะ field of view มันไม่มีกรอบจำกัด มันไม่มีขอบเขต คำว่าเก่งมันไม่มีที่สิ้นสุดถ้าเราไม่เอาไรไปวัดมัน เลยกลับมาคิดที่ตัวเองว่าที่เราทำทุกวันนี้ มันยังไม่เรียกว่าสุดยอดอีกหรอ แล้วสิ่งที่ในสังคมนั้น ๆ ที่เขาว่ากันว่าสุดยอด เขามั่นใจได้ไงว่ามันคือสิ่งที่สุดยอด และถ้าเอามาเทียบกัน มันจะเทียบกันยังไง มันเลยกลายเป็นว่าแบบ โยนไม้บรรทัดทิ้งแม้ม ละก้ไม่เคยทำอะไรในกรอบอีกเลยอ่ะ หลังจากนั้นก็เหมือนหายจากอาการพวกนี้พอสมควร (studygram พี่ทำขึ้นมาเพื่ออยากพังค่านิยมว่าต้องเรียน ___ ต้องมาจากโรงรียน ___ เพื่อสอบเข้ามหาลัยหรือคณะดัง ๆ งะ ตอนนั้นพี่บับทำอะไรในสิ่งที่คนในโรงเรียนไม่ทำกัน พี่เลยเป็นคนเดียวในประวัติม.ปลายของโรงเรียน ที่เข้ามาเรียนคณะเภสัช ฯ และแบบ เข้าใจว่าประสบความสำเร็จนิดนึงเพราะมันมีเด็กทักมาขอบคุณอยู่ เหมือนไปเปิดโลกเขาอ่ะ แล้วเขาก็ได้สอบ ได้เข้า ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ (เหมือนไปแก้ imposter syndrome ให้เด็กป่ะนะ?)) แต่ก็แอบอยากผลักมากกว่านี้ แค่แบบบบ ช่วงนี้ตันจ้ะ แล้วรุ่นน้องในคณะพี่ที่ดังขึ้นมากลับผลักค่านิยมเรื่องเกรดให้กลับมาอีก พี่บับ แง555555555555 คือที่ใช้คณะ/ม.มาวัดงี้ เพราะแค่จะสื่อว่า การแข่งขันมันสูง มันเลยยาก แต่พอเรามองนอกจากสังคมที่เราอยู่ขยาย field of view ตัวเอง โยนไม้บรรทัดทิ้ง หรือปรับไม้บรรทัดเอาเองให้เข้ากับสังคมนั้น ๆ ที่เราต้องการจะไปอยู่ โดยการแบบถามคห.รับฟังกว้าง ๆ หลาย ๆ คน หลาย ๆ มุมมอง ละบับ มันจะกลายเป็นว่ารู้สึกว่าตัวเองทำได้ทุกอย่างแทนอ่ะ ละมันเหมือนหายจากอาการนี้ไปเลย แต่ก็เหนื่อยนะเพราะสังคมเรามันจะแบบ เหมือนมีอะไรวัดตลอดเวลาอ่ะ ก็พยายามจะแหก ๆ ค่านิยมพวกนี้ เช่น เกรดไม่ได้วัดผลการเรียนได้ขนาดนั้น ลองออกมามุมอีกมุมดูสิ จะได้เห็นกว้าง ๆ (ซึ่งผลเสียที่ได้ตามมา คือคนจะมองว่าอีโก้สูงนี่แหละ5555555 พี่บับบ สารภาพว่าเออมีเรื่องภายในคณะ ภายในโรงเรียนเยอะมาก เป็นหมากตัวนึงเลยที่เคยทำให้เกิดดราม่าใหญ่หลายรอบ รวมถึงวัคซีนโควิด-19 และชุดตรวจ strip-test .... แต่พี่ก็ยังรู้สึกอิหยังวะอยู่ตลอด ว่าทำไมเราถึงเจอเรื่องพวกนี้ ._.) เคยคุยกับนักจิตวิทยาเรื่องความ creative ของตัวเอง ความนอกกรอบของตัวเอง ตอนนั้นที่คุยเพราะรู้สึกว่าตัวเองคิดนู่นคิดนี่ได้หลากหลายและแทบตลอดเวลาเลย และเป็นเหตุให้มาเจอเรื่องว้าว ๆ ด้วย เช่น ล่าสุดน้องอยากเขียน arduino เชื่อมกับขวด spray และเชื่อมกับ sensor เพื่อให้มันฉีดพ่น alcohol เวลาเราเข้ามาในห้อง5555555 ซึ่งนักจิตให้พี่แก้ปัญหาโดยการเอาความคิดพวกเนี่ยที่ผุด ๆ ใส่ไว้เปรียบเสมือนเควสรองแหละ เพื่อไม่ให้มันฟุ้งซ่านเกินไปจนเสียสมาธิ ละก็กลับมาโฟกัสที่เควสหลักแทน (ps. เควสหลักปีนี้พี่คือรักษาสุขภาพจิตแจ้) ส่วนถ้ามันจะเจออะไรว้าว ๆ ก็เจอไปเตอะ พวกเราทุกคน deserve ที่จะได้รับคำชมจากคนอื่น ฯลฯ กลับมาเรื่องไม้บรรทัด เพราะแบบ รู้ ๆ กันภายในแหละเนอะ หลายม.ก็เป็น พงโพย อจ.ไม่ออกข้อสอบใหม่ บางทีตรง100% ทุจริตสอบออนไลน์ ฯลฯ ส่วนโรงเรียน บางทีครูรับสอนพิเศษก็ให้ข้อสอบเด็กที่มาเรียนบ้างไรบ้าง ฯลฯ -> สรุปเกรดบอกอะไรเรา กลายเป็นว่าเราตกเป็นทาสมันมานานอ่ะ (ละพอพี่แบบ มาต้านค่านิยมอะไรพวกนี้ มันกลายเป็นแบบ คนบางส่วนจะเริ่มมองว่าพี่อีโก้สูง พี่ก็พยายามใช้เหตุผลแล้วก็รับฟังทุกคนนี่แหละ ซึ่งพี่ตกใจมากเพราะช่วงหลัง ๆ ในคณะ มีคนมาเข้าลัทธินี้เยอะมาก เหมือนกาลเวลามันเริ่มพิสูจน์เองอ่ะ) แต่ทุกอย่างที่ทำไป จะชอบไม่ชอบมันอีกเรื่อง ถ้าไม่ชอบก็ไม่อยากทำหรอก5555555555555555 แต่เวลาจะทำอะไร ก็จะให้คนอื่นมาคอมเม้น ๆ นี่แหละ จากหลากหลายที่ หลากหลายสังคม บับ สารภาพว่าที่มาทำ wos ส่วนนึงเพราะสังคมในคณะมันแคบ ._. ละการเรียนก็ปิดกั้นความ creative พอสมควร ทั้งหลักสูตร ทั้ง ฯลฯ พี่อยากเปิดโลก เลยเข้ามาทำ wos นี่แหละ ps. แต่พี่ติดต่ออจ.ที่ปรึกษาโปรเจคจบแร้ว หมายถึงยังไม่ได้เลือกนะ แต่พี่เลือกในใจไปละ5555 แก creative สูงมากและแหวกแนวมาก คือแกบอกเลยนะ "ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะเก่งหรือไม่เก่ง เกรดจะเท่าไหร่ ผมสนแค่ว่าคุณเข้ามาทำแล้วมาด้วยความอยากทำจากใจจริงก็พอ แค่นี้ผมก็พร้อมสอนคุณทุกอย่างแล้ว" น้ำตาไหลพราก เพราะอจ.ในคณะพี่หลากหลายแนวมาก type นี้คือหายากสุด เอาง่าย ๆ พี่สอบเข้ามาด้วยคะแนน min สุดในประวัติศาสตร์ของคณะเภสัชจุฬา ฯ เหมือนฟลุ๊คติด ช่วงแรกกดดันเพราะอีไม้บรรทัดเหี้ยนี่แหละ สรุปมันก็เรียนได้อ่ะ ไม้บรรทัดส้นติด ค่านิยมเหี้ย ๆ มีแต่จะกดดัน กดความสามารถของเรา หรือ force ให้เราทำอะไรเกิดตัวจนเกินเหตุ นี่รู้สึกว่าทุกคนคือคนเก่งหมดอ่ะ!!!!!! ps.เคยฟัง podcast ว่ามันเป็นเพราะความเคยชินจากเด็กด้วย ที่แบบ ทำอะไรแล้วจะโดนชมว่าเก่ง แต่พอไม่ได้รับคำชมเหล่านั้นไปนาน ๆ มันเลยชินเข้า แล้วเออสรุปแค่ไหนกันนะถึงเก่ง งั้นเราไม่เก่งสิ ฯลฯ นอกเรื่องเยอะมั้ยนะ พี่บ่นอะไรเนี่ย555